ประโยค Reported Speech คืออะไร จัดเต็ม! Indirect speech และ Direct speech

ประโยค Reported Speech & Indirect Speech คืออะไร Reported แปลว่า รายงาน Speech แปลว่า คำพูด สองคำนี้แปลว่า คำพูดที่นำมารายงาน จะพูดให้เข้าใจเป็นภาษาง่ายๆคือ การนำคำพูดของคนอื่นมารายงานให้คนอื่นทราบ หรือการเอาคำพูดคนอื่นมาเล่าต่อนั้นเอง ตัวอย่างเช่น

แซมพูดว่า “คุณสวยที่สุดในโลก” เราก็เอามาเล่าต่อว่า “แซมบอกว่า ฉันสวยที่สุดในโลก”
แม่ร้องขึ้นว่า “ล้างจานให้หมด” เราก็มาเล่าต่อว่า “แม่สั่งให้ฉันล้างจานให้หมด”
สมศรีถามว่า “คุณชอบกินอะไร” เราก็มาเล่าต่อว่า “สมศรีถามฉันว่าฉันชอบกินอะไร”

Reported Speech คืออะไร ใช้อย่างไร

reported speech คือ

ก่อนจะอธิบายต่อขอพูดถึงคำสองคำนี้ก่อน
Direct speech และ Indirect speech

Direct speech คำพูดแบบตรง หมายถึง การนำคำพูดคนอื่นมาพูดต่อ เช่น โจพูดว่า “ฉันชอบแมว” เราก็เอามาเล่าต่อว่า “โจบอกว่า ฉันชอบแมว” ถ้าเอาคำพูดนี้มาเล่าต่อ คนฟังจะเข้าใจว่าอย่างไร โจหรือฉันที่ชอบแมว แน่นอนว่าคนฟังต้องคิดว่า ฉันที่ชอบแมว ไม่ใช่โจ

Indirect speech หรือ Reported speech คำพูดแบบอ้อม หมายถึงการนำคำพูดคนอื่นมาเปลี่ยนเสียก่อนที่จะนำไปพูดบอกคนอื่น เช่น โจพูดว่า “ฉันชอบแมว” เราก็เอามาแปลงเป็น “โจบอกว่า เขาชอบแมว” แบบนี้คนฟังก็จะรู้เลยว่าคนที่ชอบแมวคือโจ

แล้วมันมีหลักการอะไรที่ทำให้ปวดหัวหรือเปล่า ตอบเลยว่า มี

หลักการเปลี่ยน Direct speech เป็น Indirect speech

1. เปลี่ยนคำพูดของคนอื่นให้อยู่ในรูปของอดีตกาล หรือ Past Tense นั่นเอง (ถ้าจะศึกษาเรื่องนี้ต้องผ่านด่านเรื่อง Tense มาแล้วนะครับ)
2. เปลี่ยนแปลงเวลาและคำแวดล้อมให้ถูกต้องกับความเป็นจริงในปัจจุบันที่พูด
3. เปลี่ยนสรรพนามจาก I เป็น He/She จาก We เป็น They / you จาก me เป็น her/ him แล้วแต่สถานการณ์
4. คำพูดที่อยู่ในรูปของประโยคคำถาม ให้แปลงเป็นประโยคบอกเล่า

ประโยค Reported Speech หรือ Indirect Speech มีกี่ประเภท

มี 3 ประเภทด้วยกัน

1. Indirect Speech – Statement ประโยคบอกเล่า

2. Indirect Speech – Commands, Requests or Suggestions ประโยค คำสั่ง แนะนำ ขอร้อง

3. Indirect Speech – Question ประโยคคำถาม

1. Indirect Speech – Statement ประโยคบอกเล่า

ขอให้จำกฎง่ายๆว่า ต้องเปลี่ยนคำกริยาปัจจุบันให้เป็นอดีต และเปลี่ยนคำที่เป็นบริบทให้ตรงกับความเป็นจริง

ในประโยคบอกเล่านี้ เราจะใช้คำว่า said that (พูดว่า…) หรือ told….that (บอก…ว่า) ก็ได้ คำว่า that จะละไว้ก็ได้

Present Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Simple tense

  • โจพูดกับฉัน ” I am tired.” ฉันเหนื่อย
    Jo told me that he was tired. โจบอกฉันว่าเขาเหนือย
    Jo said  he was tired. โจพูดว่าเขาเหนื่อย
  • เจนพูดกับโจ ” I love you very much.” ฉันรักคุณมาก
    Jane said that she loved Jo very much. เจนพูดว่าหล่อนรักโจมาก
    Jane told Jo that she loved Jo very much. เจนบอกโจว่าหล่อนรักโจมาก
  • โจพูดกับเจน ” I love you too.” ผมรักคุณเช่นกัน
    Jo said that he loved Jane too. โจพูดว่าเขารักเจนเช่นกัน
    Jo told Jane that he loved  her too. โจบอกเจนว่าเขารักหล่อนเช่นกัน
  • เด็กน้อยพูดกับแม่ ” I want to eat pizza every day.” หนูอยากกินพิซซ่าทุกวัน
    The little girl said that she wanted to eat pizza every day. หนูน้อยพูดว่าเธออยากกินพิซซ่าทุกวัน
    The little girl told her mum that she wanted to eat pizza every day. หนูน้อยพูดว่าเธออยากกินพิซซ่าทุกวัน
  • พวกเขา(บรรดานักบอลที่ได้แชมป์)พูดกับแฟนๆว่า ” We are so happy.” พวกเรามีความสุขมาก
    They said they were so happy. พวกเขาพูดว่าพวกเขามีความสุขมาก
    They told their fans that they were so happy. พวกเขาบอกกับแฟนๆว่าพวกเขามีความสุขมาก

ปล. ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกริยาให้เป็นรูปอดีตก็ได้ ถ้าความนั้นเป็นข้อเท็จจริงทั่วไป เช่น

  • โจพูดกับฉันว่า I am a teacher. ผมเป็นครู (อันนี้เป็นข้อเท็จริง ตลอดกาล)
  • Jo said that he is a teacher. จะเห็นว่า ใช้กริยา is โดยที่ไม้ต้องเปลี่ยนเป็น was

เที่ยบกับ

  • โจพูดกับฉัน ” I am tired.” ฉันเหนื่อย
    Jo told me that he was tired. โจบอกฉันว่าเขาเหนือย
    อันนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เขาแค่เหนื่อยในขณะนั้นในอดีต ซึ่งตอนนี้อาจจไม่ใช่แล้ว ส่วนประโยคอื่นๆก็เทียบเคียงกัน

Present Continuous Tense เปลี่ยนเป็น Past Continuous tense

  • โจพูดกับฉัน ” I am eating dinner.” ฉันกำลังกินข้าวเย็นอยู่
    Jo said that he was eating dinner. โจพูดว่าเขากำลังกินข้าวเย็นอยู่
    Jo told me that he was eating dinner. โจบอกฉันว่าเขากำลังกินข้าวเย็นอยู่
  • เจนพูดกับโจ  ” I am taking a bath.” ฉันกำลังอาบน้ำอยู่
    Jane said that she was taking  a bath. เจนพูดว่าหล่อนกำลังอาบน้ำอยู่
    Jane told Jo that she was taking  a bath. เจนบอกโจว่าว่าหล่อนกำลังอาบน้ำอยู่
  • พวกเขา(บรรดานักบอลที่กำลังลงสนาม)พูดกับแฟนๆว่า ” We are playing against Leeds United.” พวกเรากำลังจะลงแข่งกับลีดส์ยูไนเต็ด
    They said they were playing against Leeds United. พวกเราพูดว่า พวกเขากำลังจะลงแข่งกับลีดส์ยูไนเต็ด
    They told their fans that they were playing against Leeds United. พวกเราบอกกับแฟนๆของพวกเขาว่า พวกเขากำลังจะลงแข่งกับลีดส์ยูไนเต็ด

Present Perfect Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect tense

  • โจพูดกับฉัน ” I have eaten dinner.” ฉันกินข้าวเย็นแล้ว
    Jo said that he had eaten dinner. โจพูดว่าเขากินข้าวเย็นแล้ว
    Jo told me that he had eaten dinner. โจบอกฉันว่าเขากินข้าวเย็นแล้ว
  • เจนพูดกับโจ  ” I have taken a bath.” ฉันอาบน้ำแล้ว
    Jane said that she had taken  a bath. เจนพูดว่าหล่อนอาบน้ำแล้ว
    Jane told Jo that she had taken  a bath. เจนบอกโจว่าว่าหล่อนอาบน้ำแล้ว

Present Perfect Continuous Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Continuous tense

  • โจพูดกับฉัน ” I have been eating dinner for 30 munites.” ฉันกินข้าวเย็นมาเป็นเวลา 30 นาทีแล้ว
    Jo said that he had been eating dinner for 30 munites.. โจพูดว่าเขากินข้าวเย็นมาเป็นเวลา 30 นาทีแล้ว
    Jo told me that he had been eating dinner for 30 munites.. โจบอกฉันว่าเขากินข้าวเย็นมาเป็นเวลา 30 นาทีแล้ว

ทีนี้ถ้ามันเป็นเหตุการณ์ในอดีตล่ะ….ถ้าเป็นเหตุการณ์ในอดีตเอาสูตรง่ายๆไปใช้คือ คงเดิมไว้ เปลี่ยนแค่ตัวประธานให้ตรงกับสถานการณ์ก็พอ

Past Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect tense หรือ คง Tense ไว้

  • โจพูดกับฉัน ” I ate dinner with Jenny yesterday.” ฉันกินข้าวเย็นกับเจนเมื่อวาน
    Jo told me that he ate dinner with Jenny the day befor yesterday. โจบอกฉันว่าเขากินข้าวเย็นกับเจนเมื่อวานก่อน

Past Continuous Tense ก็ให้คงไว้

  • โจพูดกับฉัน ” While I was walking to school, I saw a long snake. ขณะที่ฉันกำลังเดินไปโรงเรียน ฉันเห็นงูตัวยาว
    Jo said while he was walking to school, he saw a long snake. โจพูดว่าขณะที่เขากำลังเดินไปโรงเรียน เขาเห็นงูตัวยาว

ประโยคที่มี auxiliary verb ให้เปลี่ยนดังนี้

  • can > could
  • may > might
  • will > would
  • shall > should
  • must > must, had to
  • โจพูดกับฉัน ” I can run fast.
  • Jo said that he could run fast. โจพูดว่าเขาสามารถวิ่งได้เร็ว
  • เจนพูดว่า ” I will go to London next month.
    Jane said she would go to London next month.

2. Indirect Speech – Commands, Requests or Suggestions ประโยค คำสั่ง แนะนำ ขอร้อง

  • การสั่งจะใช้คำว่า ordered, commanded
  • การแนะนำจะใช้ advised, suggested, recommended, told..
  • การของร้องจะใช้ asked

ในประโยคคำสั่ง คำแนะนำ และคำขอร้องจะใช้ infinitive with to (มี to นำหน้า)

  • นายพลสั่งลูกน้อง ” Jump into the sea now!” กระโดดลงทะเลยเดี๋ยวนี้
    The general ordered his soldiers to jump into the sea then.
  • ตำรวจสั่งชายผู้ต้องสงสัยบนถนน ” Put your hands on your head!” เอามือวางไว้บนหัวของคุณ!
    The police ordered the man to put his hand on his head. ตำรวจสั่งให้ชายหนุ่มเอามือของเขาวางไว้บนหัวของเขา
  • ผมป่วยอยู่บ้าน เจนมาหา ” You should see the doctor. ” คุณควรพบหมอนะ
    Jane advised me to see the doctor. เจนบอกว่าให้ฉันไปพบหมอ
    Why don’t you go to see the doctor.” ทำไมคุณไม่ไปพบหมอล่ะ
    Jane told me to see the doctor. เจนบอกให้ผมไปพบหมอ
  • เจนขอให้เราปิดประตูให้ ” Open the door, please.” ช่วยปิดหน้าต่างให้หน่อยค่ะ
    Jane asked me to open the door.

3. Indirect Speech – Question ประโยคคำถาม

ถ้าคำถามใช้ modal auxiliary verb ให้ใช้ if หรือ wether นำหน้า ซึ่งแปลว่า “ว่า” และ เรียงประโยคในรูแบบ ประธาน + modal verb + กริยาหลัก

  • เจนถามว่า ” Can you swim?” คุณว่ายน้ำเป็นไหม
    Jane asked me if I could swim. เจนถามฉันว่าฉันว่ายน้ำเป็นใช่ไหม
  • เจนถามว่า ” Will you go tomorrow?” คุณจะไปพรุ่งนี้ใช่ไหม
    Jane asked me if I would go tomorrow. เจนถามฉันว่าฉันจะไปพรุ่งนี้ใช่ไหม
  • เจนถามว่า “Shall I go tomorrow?” ฉันควรไปพบหมอไหม
    Jane asked me if she should go tomorrow. เจนถามฉันว่าหล่อนควรไปพรุ่งนี้ใช่ไหม
  • เจนถามว่า ” Will you go tomorrow?” คุณจะไปพรุ่งนี้ใช่ไหม
    Jane asked me if I would go tomorrow. เจนถามฉันว่าฉันจะไปพรุ่งนี้ใช่ไหม

คำถาม  do, does, did ให้ตัด do, does, did

  • เจนถามว่า ” Do you like cats?” คุณชอบแมวไหม
    Jane asked me if I liked cats. เจนถามฉันว่าฉันชอบแมวใช่ไหม
  • เจนถามว่า ” Did you eat my cake?” คุณกินเค้กฉันใช่ไหม
    Jane asked me if I ate her cake. เจนถามฉันว่าฉันกินเค้กของหล่อนใช่ไหม

คำถาม  Verb to be (is, am, are, was, were + ประธาน) ให้เรียงเป็นประโยคบอกเล่า (ประธาน + verb to be)

  • เจนถามว่า “Are you a doctor?” คุณชอบแมวไหม
    Jane asked me if I was a doctor. เจนถามฉันว่าฉันเป็นหมอใช่ไหม
  • เจนถามว่า “Were you a doctor at ABC Hospital?” คุณเคยเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลเอบีซีใช่ไหม
    Jane asked me if I was a doctor at ABC Hospital. เจนถามฉันว่าเคยเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลเอบีซีใช่ไหม

คำถาม Wh Questions (who, what, where, when, why และ how) ให้ใช้ wh question นำหน้า และเรียงเป็นประโยคบอกเล่า ประธาน + กริยา

  • เจนถามว่า “Where are you from?” คุณมาจากไหน
    Jane asked me where I was from. เจนถามฉันว่าฉันมาจากไหน
  • เจนถามว่า “Who do you love?” คุณรักใคร
    Jane asked me who I loved. เจนถามฉันว่าฉันรักใคร
  • เจนถามว่า “What will you do?” คุณจะทำอะไร
    Jane asked me what I would do. เจนถามฉันว่าฉันจะทำอะไร
  • เจนถามว่า “When is your birthday?” วันเกิดของคุณเมื่อไหร่
    Jane asked me when my birthday was. เจนถามฉันว่าวันเกิดของฉันเมื่อไหร่
  • เจนถามว่า “Why is Jo crying?” ทำไหมโจร้องให้
    Jane asked me why Jo was crying. เจนถามฉันว่าทำไมโจร้องให้

หลักการใช้ reported speech หลักๆก็มีเท่านี้แล แต่ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องของการใช้คำพูดให้ตรงกับความเป็นจริงที่ต้องประดิดประดอยเอาเองนะครับ แต่หลักการก็ประมาณนี้แหละ

ขอ 5 ดาวให้บทเรียนด้วยครับผม...

คลิกดาวดวงที่ขวามือสุดเลยครับครับ...

Average rating 4.7 / 5. Vote count: 528

ยังไม่มีใครให้ดาว คุณคือคนแรก....

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *